วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561

รูปแบบการเรียนการสอนและกระบวนการเรียนการสอนของไทย




2. รูปแบบการเรียนการสอนและกระบวนการเรียนการสอนของไทย


มีกลุ่มบุคคลทั้งที่อยู่ในวงการศึกษาหรือเกี่ยวข้องกับการศึกษาและกลุ่มที่อยู่ในวงการอื่นที่ไม่ใช่การศึกษาแต่สนใจในเรื่องการจัดการศึกษา ได้นําเสนอแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนไว้อย่าง เป็นกระบวนการ คือมีขั้นตอนที่เป็นไปอย่างมีลําดับชัดเจนและได้รับความเชื่อถือจากสังคมไม่น้อยจากสังคมกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนโดยแบ่งออกเป็น3 หมวดใหญ่ๆ คือ
1. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนักการศึกษาไทย
2. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาโดยนิสต์กศึกษาระดับบัณที่
3. กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน



1.รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนักการศึกษาไทย
 1.1 รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์พัฒนาโดยสุมน อมรวิวัฒน์
    การศึกษาที่แท้ควรสัมพันธ์สอดคล้องกับการดําเนินชีวิตต้องเผชิญกับการ เปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งมีทั้งทุกข์ สุข ความสมหวังและความผิดหวังต่างๆ การศึกษาที่แท้ควรช่วยให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้ที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ เหล่านั้น และสามารถเอาชนะปัญหาเหล่านั้นได้โดย
    1. การเผชิญ
    2. การผจญ
    3. การผสมผสาน
    4. การเผด็จ


  1.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการโดย สุมน อมรวิวัฒน์
        รูปแบบการเรียนการสอนนี้พัฒนาขึ้นจากหลักการที่ว่า ครูเป็นบุคคลสําคัญที่สามารถจัด สภาพแวดล้อม แรงจูงใจ และวิธีการสอนให้ศิษย์เกิดศรัทธาที่จะเรียนรู้ ครูทําหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรช่วยให้ศิษย์มีโอกาสคิด และแสดงออกอย่างถูกวิธี จะสามารถช่วยพัฒนาให้ศิษย์เกิดปัญญาและแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม


 1.3 รูปแบบการเรียนการสอนการคิดเป็นเพื่อการดํารงชีวิตในสังคมไทย โดย หน่วย
ศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา
         หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา (2537) ได้พัฒนารายวิชา การคิดเป็นเพื่อ พัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมไทยขึ้น เพื่อพัฒนานักเรียนระดับมัธยมศึกษาให้สามารถคิดเป็น รู้จักและเข้าใจตนเอง รายวิชาประกอบด้วยเนื้อหา 3 เรื่อง คือ 1. การพัฒนาความคิด (สติปัญญา) 2. การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม (สัจธรรม) และ 3. การพัฒนาอารมณ์ ความรู้สึก
        โดยอาศัยแนวคิดที่ว่า คิดเป็นเป็นการแสดง ศักยภาพของมนุษย์การพยายามปรับตัวเองและสิ่งแวดล้อมให้ ผสมผสานกลมกลืนกันด้วยกระบวนการแก้ปัญหา ซึ่งประกอบด้วยการพิจารณาข้อมูล 4 ด้าน ได้แก่  ข้อมูลตนเอง ข้อมูลสังคมและสิ่งแวดล้อม และข้อมูลทางวิชาการ เพื่อเป้าหมายที่สําคัญคือการ ดำรงชีวิตอย่างมีความสุข


1.4 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้โมเดลซิปปา (CIPPA Model)
ทิศนา แขมมณีรองศาสตราจารย์ ประจําคณะครุศาสตร์ " มหาวิทยาลัย ได้พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นจากประสบการณ์ที่ใช้ได้แนวคิดทางการศึกษาต่างๆ พบว่าหลักการเรียนรู้จํานวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอด ดังกล่าว ได้แก่
     1. หลักการสร้างความรู้
     2. หลักกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ
    3. หลักความพร้อมในการเรียนรู้
    4. หลักการการเรียนรู้กระบวนการ 
    5. หลักการถ่ายโอนการเรียนรู้

    หลักการทั้ง 5 เป็นที่มาของแนวคิด “CIPPA” ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
แนวคิด “CIPPA”
   C = (construction of knowledge) การให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง
    I = ( interaction)  มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน บุคคลอื่นๆและสิ่งแวดล้อมรอบตัวหลายๆด้าน
   P = (process skills) การใช้ทักษะกระบวนการต่างๆเพื่อเป็นเครื่องมือในกาสร้างความรู้
   P = (physical participation) มีความพร้อมในการรับรู้และเรียนรู้ มีประสาทการรับรู้ที่ตื่นตัว                          ไม่เฉื่อยชา
   A = (application) นําความรู้นั้นไป ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย





  2. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาโดยนิสิตนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
     ได้เลือกสรรรูปแบบที่น่าสนใจมานําเสนอ 5 รูปแบบให้ครอบคลุมระดับ การศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา รวมทั้งอาชีวศึกษา ดังนี้


   2.1 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการกิจกรรมทางกาย (Physical Knowledge Activity) ในการสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สําหรับเด็กก่อนประถมศึกษา
        วิธีการกิจกรรมทางกาย (Physical Knowledge Activity Approach) เป็นวิธีการที่ให้ผู้เรียนกระทํากิจกรรมทางกาย ซึ่งอาจเป็นการเคลื่อนไหวในการกระทํากับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และใช้ประสาทสัมผัสสังเกต หรือปฏิกิริยาของสิ่งที่ถูกกระทํานั้น ซึ่งเป็นผลจาการสังเกต จะทําให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการทาง สติปัญญา โดยผู้เรียนสร้าง (construct) ความคิดหรือความรู้ขึ้นมาด้วยตนเอง ซึ่งความคิดหรือความรู้ในระดับอนุบาลนั้นเกิดขั้นรับรู้ ( perceive)เกิดรู้สึก ( feel) เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นอธิบายเหตุผล


   2.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้สาระอิงบริบท (Anchored Instruction) เพื่อ ส่งเสริมความใฝ่รู้ของนักเรียนระดับประถมศึกษา
         วิโรจน์ วัฒนานิมิตกูล ให้ความหมายของ “anchor”  ตามลักษณะการใช้งานได้ว่าเป็น "1. จุดรวม   2. ความลึก3. ความกว้าง ซึ่งแสดงถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่นําสาระซึ่งมีความซับซ้อนทั้งทางกว้าง และลึกและมีมุมมองได้หลายด้านมาเป็นเนื้อหาการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้าและ สรุปเป็นองค์รวมได้ “anchor” นั้นจะต้องมีลักษณะที่น่าสนใจมีความแปลกใหม่ เหมาะกับวัยของผู้เรียนการนําเสนอสาระอิงบริบทที่ ยังไม่กระจ่างชัด สามารถสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความต้องการจะศึกษาค้นคว้าหาความรู้นั้นใน แง่มุมต่างๆ ที่ผู้เรียนสนใจ
 

  2.3 รูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism) สําหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา
       ศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา ได้พัฒนารูปแบบการ เรียนการสอนคณิตศาสตร์นี้ขึ้นเป็นผลงานวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิตเพื่อใช้สอนนักศึกษาระดับ มัธยมศึกษา โดยใช้แนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ซึ่งมีสาระสําคัญดังนี้
    1.การเรียนรู้คือการสร้างโครงสร้างทางปัญญา
    2.นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยวิธีที่ต่างๆ กัน โดยอาศัยประสบการณ์เดิม
    3. ครูมีหน้าที่จัดการให้นักเรียนได้ปรับขยายโครงสร้างทางปัญญาของนักเรียนเองภายใต้สมมติฐานต่อไปนี้
 สถานการณ์ที่เป็นปัญหา ความขัดแย้งทางปัญญา การไตร่ตรองบนฐานแห่งประสบการณ์


   2.4 รูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการ (Process Approach) สําหรับนักศึกษาไทยระดับอุดมศึกษา
     การเขียนเป็น กระบวนการทางสติปัญญาและภาษา การเรียนการสอนจึงมุ่งเน้นที่กระบวนการทั้งหลายที่ใช้ในการสร้างงานเขียน แต่ผู้เรียนควรพัฒนาทักษะการสร้างความคิด การค้นหาข้อมูลและการวางแผนเรียบเรียงข้อมูลเพื่อนำไปสู่กระบวนการเขียน ซึ่งการเขียน การร่างงานเขียนต้องอาศัยกระบวนการจัดความคิดข้อมูลต่างๆให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง  งานเขียนในระดับสมบูรณ์นั้น ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องมีการแกไขเนื้อหาให้สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนและมีการแก้ไขด้านภาษาและด้านความถูกต้องของไวยากรณ์รวมทั้งการเลือกใช้คำ
  

2.5 รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะปฏิบัติสําหรับสําหรับครูวิชาอาชีพ
      การเรียนการสอนวิชาอาชีพสายต่างๆ ซึ่ง ส่วนใหญ่จะเน้นทักษะปฏิบัติโดยอาศัยแนวคิดและหลักการเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติ 9 ประการ ซึ่งมีสาระโดยสรุปว่า วิเคราะห์งานที่จะให้ผู้เรียนทำ ลําดับจากง่ายไปสู่ยากให้ ผู้เรียนได้ฝึกทํางานย่อยๆแต่ละส่วนให้ได้ ควรให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในงานนั้นเป็นอย่างน้อย ฝึกทํางานด้วยตนเองในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับการทํางานจริง โดยจัดลําดับตั้งแต่ง่ายไปยากปรับตัวให้พร้อม ลองทําโดยการเลียนแบบ ลองผิดลองถูกแล้วจึงให้ฝึกทําเอง และทําหลายๆ ครั้งจนกระทั้งชํานาญ สามารถทําได้เป็น อัตโนมัติ ขณะฝึกผู้เรียนควรได้รับข้อมูลย้อนกลับเพื่อปรับปรุงงานเป็นระยะๆ และผู้เรียนควรได้รับ การประเมินทั้งทางด้านความถูกต้องของผลงาน ความชํานาญในงาน (ทักษะ) และลักษณะนิสัยใน การทํางานด้วย






อ้างอิง

พิจิตรา ธงพานิช. วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน. พิมพ์ครั้งที่ 3 นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์, 2560.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น