2.
รูปแบบการเรียนการสอนและกระบวนการเรียนการสอนของไทย
มีกลุ่มบุคคลทั้งที่อยู่ในวงการศึกษาหรือเกี่ยวข้องกับการศึกษาและกลุ่มที่อยู่ในวงการอื่นที่ไม่ใช่การศึกษาแต่สนใจในเรื่องการจัดการศึกษา
ได้นําเสนอแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนไว้อย่าง เป็นกระบวนการ คือมีขั้นตอนที่เป็นไปอย่างมีลําดับชัดเจนและได้รับความเชื่อถือจากสังคมไม่น้อยจากสังคม“กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนโดยแบ่งออกเป็น3 หมวดใหญ่ๆ คือ
1. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนักการศึกษาไทย
2. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาโดยนิสต์กศึกษาระดับบัณที่
3. กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน
1.รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนักการศึกษาไทย
1.1
รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์พัฒนาโดยสุมน อมรวิวัฒน์
การศึกษาที่แท้ควรสัมพันธ์สอดคล้องกับการดําเนินชีวิตต้องเผชิญกับการ
เปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งมีทั้งทุกข์ สุข ความสมหวังและความผิดหวังต่างๆ
การศึกษาที่แท้ควรช่วยให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้ที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ
เหล่านั้น และสามารถเอาชนะปัญหาเหล่านั้นได้โดย
1. การเผชิญ
2. การผจญ
3. การผสมผสาน
4. การเผด็จ
1.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการโดย สุมน อมรวิวัฒน์
รูปแบบการเรียนการสอนนี้พัฒนาขึ้นจากหลักการที่ว่า
ครูเป็นบุคคลสําคัญที่สามารถจัด สภาพแวดล้อม แรงจูงใจ
และวิธีการสอนให้ศิษย์เกิดศรัทธาที่จะเรียนรู้
ครูทําหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรช่วยให้ศิษย์มีโอกาสคิด และแสดงออกอย่างถูกวิธี
จะสามารถช่วยพัฒนาให้ศิษย์เกิดปัญญาและแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
1.3
รูปแบบการเรียนการสอนการคิดเป็นเพื่อการดํารงชีวิตในสังคมไทย โดย หน่วย
ศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา
หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา (2537)
ได้พัฒนารายวิชา “การคิดเป็นเพื่อ
พัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมไทย” ขึ้น
เพื่อพัฒนานักเรียนระดับมัธยมศึกษาให้สามารถคิดเป็น รู้จักและเข้าใจตนเอง
รายวิชาประกอบด้วยเนื้อหา 3 เรื่อง คือ 1. การพัฒนาความคิด (สติปัญญา) 2.
การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม (สัจธรรม) และ 3. การพัฒนาอารมณ์ ความรู้สึก
โดยอาศัยแนวคิดที่ว่า “คิดเป็น” เป็นการแสดง
ศักยภาพของมนุษย์การพยายามปรับตัวเองและสิ่งแวดล้อมให้
ผสมผสานกลมกลืนกันด้วยกระบวนการแก้ปัญหา ซึ่งประกอบด้วยการพิจารณาข้อมูล 4 ด้าน ได้แก่ ข้อมูลตนเอง
ข้อมูลสังคมและสิ่งแวดล้อม และข้อมูลทางวิชาการ เพื่อเป้าหมายที่สําคัญคือการ
ดำรงชีวิตอย่างมีความสุข
1.4
รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้โมเดลซิปปา (CIPPA Model)
ทิศนา แขมมณีรองศาสตราจารย์
ประจําคณะครุศาสตร์ " มหาวิทยาลัย
ได้พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นจากประสบการณ์ที่ใช้ได้แนวคิดทางการศึกษาต่างๆ
พบว่าหลักการเรียนรู้จํานวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอด ดังกล่าว ได้แก่
1. หลักการสร้างความรู้
2. หลักกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ
3. หลักความพร้อมในการเรียนรู้
4. หลักการการเรียนรู้กระบวนการ
5. หลักการถ่ายโอนการเรียนรู้
หลักการทั้ง 5 เป็นที่มาของแนวคิด “CIPPA”
ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
แนวคิด “CIPPA”
C =
(construction of knowledge) การให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง
I = (
interaction) มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน
บุคคลอื่นๆและสิ่งแวดล้อมรอบตัวหลายๆด้าน
P =
(process skills) การใช้ทักษะกระบวนการต่างๆเพื่อเป็นเครื่องมือในกาสร้างความรู้
P =
(physical participation) มีความพร้อมในการรับรู้และเรียนรู้
มีประสาทการรับรู้ที่ตื่นตัว ไม่เฉื่อยชา
A =
(application) นําความรู้นั้นไป ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย
2. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาโดยนิสิตนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
ได้เลือกสรรรูปแบบที่น่าสนใจมานําเสนอ 5 รูปแบบให้ครอบคลุมระดับ
การศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา
รวมทั้งอาชีวศึกษา ดังนี้
2.1 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการกิจกรรมทางกาย (Physical
Knowledge Activity) ในการสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สําหรับเด็กก่อนประถมศึกษา
วิธีการกิจกรรมทางกาย (Physical
Knowledge Activity Approach) เป็นวิธีการที่ให้ผู้เรียนกระทํากิจกรรมทางกาย
ซึ่งอาจเป็นการเคลื่อนไหวในการกระทํากับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และใช้ประสาทสัมผัสสังเกต
หรือปฏิกิริยาของสิ่งที่ถูกกระทํานั้น ซึ่งเป็นผลจาการสังเกต
จะทําให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการทาง สติปัญญา โดยผู้เรียนสร้าง (construct) ความคิดหรือความรู้ขึ้นมาด้วยตนเอง
ซึ่งความคิดหรือความรู้ในระดับอนุบาลนั้นเกิดขั้นรับรู้ ( perceive)เกิดรู้สึก ( feel) เท่านั้น
ยังไม่ถึงขั้นอธิบายเหตุผล
2.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้สาระอิงบริบท (Anchored
Instruction) เพื่อ ส่งเสริมความใฝ่รู้ของนักเรียนระดับประถมศึกษา
วิโรจน์ วัฒนานิมิตกูล ให้ความหมายของ “anchor” ตามลักษณะการใช้งานได้ว่าเป็น
"1. จุดรวม 2. ความลึก3. ความกว้าง”
ซึ่งแสดงถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่นําสาระซึ่งมีความซับซ้อนทั้งทางกว้าง
และลึกและมีมุมมองได้หลายด้านมาเป็นเนื้อหาการเรียนรู้
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้าและ สรุปเป็นองค์รวมได้ “anchor” นั้นจะต้องมีลักษณะที่น่าสนใจมีความแปลกใหม่
เหมาะกับวัยของผู้เรียนการนําเสนอสาระอิงบริบทที่ ยังไม่กระจ่างชัด
สามารถสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความต้องการจะศึกษาค้นคว้าหาความรู้นั้นใน
แง่มุมต่างๆ ที่ผู้เรียนสนใจ
2.3 รูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism)
สําหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา
ศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา ได้พัฒนารูปแบบการ
เรียนการสอนคณิตศาสตร์นี้ขึ้นเป็นผลงานวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิตเพื่อใช้สอนนักศึกษาระดับ
มัธยมศึกษา โดยใช้แนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ซึ่งมีสาระสําคัญดังนี้
1.การเรียนรู้คือการสร้างโครงสร้างทางปัญญา
2.นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยวิธีที่ต่างๆ กัน โดยอาศัยประสบการณ์เดิม
3.
ครูมีหน้าที่จัดการให้นักเรียนได้ปรับขยายโครงสร้างทางปัญญาของนักเรียนเองภายใต้สมมติฐานต่อไปนี้
สถานการณ์ที่เป็นปัญหา ความขัดแย้งทางปัญญา
การไตร่ตรองบนฐานแห่งประสบการณ์
2.4 รูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการ
(Process Approach) สําหรับนักศึกษาไทยระดับอุดมศึกษา
การเขียนเป็น กระบวนการทางสติปัญญาและภาษา
การเรียนการสอนจึงมุ่งเน้นที่กระบวนการทั้งหลายที่ใช้ในการสร้างงานเขียน
แต่ผู้เรียนควรพัฒนาทักษะการสร้างความคิด
การค้นหาข้อมูลและการวางแผนเรียบเรียงข้อมูลเพื่อนำไปสู่กระบวนการเขียน
ซึ่งการเขียน การร่างงานเขียนต้องอาศัยกระบวนการจัดความคิดข้อมูลต่างๆให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง งานเขียนในระดับสมบูรณ์นั้น
ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องมีการแกไขเนื้อหาให้สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนและมีการแก้ไขด้านภาษาและด้านความถูกต้องของไวยากรณ์รวมทั้งการเลือกใช้คำ
2.5 รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะปฏิบัติสําหรับสําหรับครูวิชาอาชีพ
การเรียนการสอนวิชาอาชีพสายต่างๆ ซึ่ง
ส่วนใหญ่จะเน้นทักษะปฏิบัติโดยอาศัยแนวคิดและหลักการเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติ
9 ประการ ซึ่งมีสาระโดยสรุปว่า วิเคราะห์งานที่จะให้ผู้เรียนทำ ลําดับจากง่ายไปสู่ยากให้
ผู้เรียนได้ฝึกทํางานย่อยๆแต่ละส่วนให้ได้
ควรให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในงานนั้นเป็นอย่างน้อย
ฝึกทํางานด้วยตนเองในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับการทํางานจริง
โดยจัดลําดับตั้งแต่ง่ายไปยากปรับตัวให้พร้อม ลองทําโดยการเลียนแบบ
ลองผิดลองถูกแล้วจึงให้ฝึกทําเอง และทําหลายๆ ครั้งจนกระทั้งชํานาญ
สามารถทําได้เป็น อัตโนมัติ
ขณะฝึกผู้เรียนควรได้รับข้อมูลย้อนกลับเพื่อปรับปรุงงานเป็นระยะๆ
และผู้เรียนควรได้รับ การประเมินทั้งทางด้านความถูกต้องของผลงาน ความชํานาญในงาน
(ทักษะ) และลักษณะนิสัยใน การทํางานด้วย
อ้างอิง
พิจิตรา ธงพานิช. วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน. พิมพ์ครั้งที่ 3 นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์, 2560.